Miss SUPATTRA

Miss SUPATTRA

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

ทฤษฎีการบริหารองค์กร

ทฤษฎีการบริหารองค์กรอาจจัดได้ 4 กลุ่มหลัก ดังนี้

1. ทฤษฎีการบริหารองค์กรตามแนวคิดคลาสสิก (classical organization theory) (วิชัย ตันศิริ, 2549, 295-306)   
     1.1 ทฤษฎีบริหารองค์กรเชิงวิทยาศาสตร์ เป็นแนวคิดของ Taylor ความหมายสูงสุดของแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ คือ จะบริหารให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดได้อย่างไร Taylor ได้เสนอระบบการจ้างงานบนพื้นฐานของการสร้างแรงจูงใจไว้ 3 ประการ คือ
          1.1.1 การแบ่งงาน (division of labors)
          1.1.2 การควบคุมดูแลบังคับบัญชาตามสายงาน (hierarchy)
          1.1.3 การจ่ายค่าจ้างเพื่อสร้างแรงจูงใจ (incentive payment)

     1.2 ทฤษฎีการบริหารองค์กรอย่างเป็นทางการ (Formal Organization Theory) จากแนวคิดของ Fayol ที่วางหลักการไว้ 7 ประการ ดังนี้
          1.2.1 หลักการทำงานเฉพาะทาง คือ การแบ่งงานให้เกิดความชำนาญเฉพาะทาง
          1.2.2 หลักสายบังคับบัญชา ที่เริ่มต้นจากยอดพีระมิดของผู้บังคับบัญชาสูงสุดสู่ระดับต่ำที่สุด
          1.2.3 หลักเอกภาพของการบังคับบัญชา
          1.2.4 หลักขอบข่ายของการควบคุมดูแล
          1.2.5 การสื่อสารแนวดิ่ง
          1.2.6 หลักการแบ่งระดับการบังคับบัญชาให้น้อยที่สุด
          1.2.7 หลักการแบ่งความรับผิดชอบระหว่างสายการบังคับบัญชา

     หลักการบริหารการจัดโครงสร้างนี้ต่อมา Gulic ได้มาปรับจนเป็นหลักการบริหารที่สำคัญในยุคต้นของศาสตร์การบริหารที่มีชื่อย่อว่า POSDCORB

     1.3 ทฤษฎีการบริหารองค์กรในระบบราชการ (bureaucracy) หลักการและแนวคิดนี้มาจากแนวคิดของ Weber ประกอบด้วยหลักการดังนี้
          1.3.1 หลักของฐานอำนาจจากกฎหมาย ทุกคำสั่งมาจากอำนาจที่กำหนดไว้ในกฎหมาย หรือกฎระเบียบ
          1.3.2 การแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
          1.3.3 การแบ่งงานตามความชำนาญการเฉพาะทาง
          1.3.4 การบริหารงานไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัว
          1.3.5 มีระบบความมั่นคงในอาชีพ การเลื่อนชั้น เลื่อนระดับ เป็นไปตามหลักอาวุโส และระบบคุณธรรม

2. ทฤษฎีการบริหารองค์กรเชิงมนุษยสัมพันธ์ (human relations school) (วิชัย ตันศิริ, 2549, หน้า 297)
     จากจุดอ่อนบางประการของทฤษฎีการบริหารตามแนวคลาสสิก คือ การที่แนวคลาสสิกมองคนเป็นเครื่องยนต์กลไก และสมาชิกขององค์กรเป็นเพียงเครื่องมือ แต่ด้วยข้อเท็จจริงแล้วในความเป็นมนุษย์ย่อมแตกต่างจากเครื่องยนต์ และมนุษย์ย่อมสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดกลุ่มที่ไม่เป็นทางการในองค์กร จึงทำให้เกิดทัศน์ใหม่ของกลุ่มมนุษยสัมพันธ์ โดยมีข้อค้นพบที่สำคัญของกลุ่มนี้คือการค้นพบว่าคนงานจะสร้างความสัมพันธ์ของมนุษย์มีความสำคัญมาก จึงเน้นให้ความสำคัญกับเรื่อง ขวัญกำลังใจแรงจูงใจ ลีลาการเป็นผู้นำแบบประชาธิปไตย ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล การสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการ และพลวัตกลุ่ม

ทฤษฎีการจูงใจ (motivation hygiene theory) Harzberg เชื่อว่าปัจจัยที่จูงใจให้คนทำงาน คือ
          1) ความสำเร็จ
          2) การยกย่อง
          3) ความก้าวหน้า
          4) ลักษณะงาน
          5) ความรับผิดชอบ
          6) ความเจริญเติบโต

3. ทฤษฎีการบริหารองค์กรตามแนวคิดเชิงระบบ (system theory) (วิชัย ตันศิริ, 2549, หน้า 298)
     ทฤษฎีระบบมีข้อสมมติฐานว่า สังคมเป็นระบบอุปมาเหมือนระบบร่างกายมนุษย์สัตว์ พืช ที่ทำงานเป็นระบบซึ่งหมายความว่าทุก ๆ ส่วนของร่างกายมนุษย์มีส่วนสัมพันธ์กันหากส่วนหนึ่งส่วนใดเกิดปัญหา (ติดเชื้อโรค) ก็จะกระทบการทำงานของอวัยวะส่วนอื่น ๆ ด้วย ขณะเดียวกันระบบของร่างกายมนุษย์ก็ดำรงอยู่ในสิ่งแวดล้อม ระบบของร่างกายมนุษย์จะดำรงอยู่ได้ต้องสามารถปรับตนเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม เช่น ในพื้นที่ที่อากาศร้อน ร่างกายก็จะมีเหงื่อออก เพื่อลดความร้อน หรืออุณหภูมิในร่างกาย หากในสภาพอากาศหนาวร่างกายก็ต้องปรับอุณหภูมิให้ร่างกาย

     โดยสรุป ระบบจึงมีข้อสมมติฐานว่า ส่วนประกอบของระบบต้องสัมพันธ์กันระบบต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นสังคมยังต้องพิจารณาถึงระบบปิดระบบเปิด ระบบปิด คือ ไม่ยอมรับข้อมูลใหม่จากสิ่งแวดล้อม ส่วนระบบเปิดนั้น ยอมรับข้อมูลใหม่ตลอดเวลา

     การบริหารเชิงระบบ การเอาแนวความคิดเชิงระบบเข้ามาใช้ในการบริหาร ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าในปัจจุบันองค์กรมีการขยายตัวสลับซับซ้อนมากขึ้นจึงเป็นการยากที่พิจารณาถึงพฤติกรรมขององค์กรได้หมดทุกแง่ทุกมุม นักทฤษฎีบริหารสมัยใหม่ จึงหันมาสนใจการศึกษาพฤติกรรมขององค์กร เพราะคนเป็นส่วนหนึ่งของระบบองค์กร องค์กรเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคม ระบบในเชิงบริหารหมายถึงองค์กรประกอบหรือปัจจัยต่าง ๆที่มีความสัมพันธ์กันและมีส่วนกระทบต่อปัจจัยระหว่างกันในการดำเนินงาน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร องค์ประกอบพื้นฐานของทฤษฎีระบบ ได้แก่
          1) ปัจจัยการนำเข้า Input
          2) กระบวนการ Process
          3) ผลผลิต Output
          4) ผลกระทบ Impact

     วิธีการระบบเป็นวิธีการที่ใช้หลักตรรกศาสตร์วิทยาศาสตร์อย่างมีเหตุผล และมีความสัมพันธ์กันไปตามขั้นตอนช่วยให้กระบวนการทั้งหลายดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและสามารถช่วยให้การบริหารบรรลุวัตถุประสงค์ไปด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้องและไม่ลำเอียง (สมศักดิ์ คงเที่ยง, 2546, หน้า 127) การบริหารระบบคุณภาพ กระบวนการบริหารจัดการคุณภาพที่สำคัญและมีประสิทธิภาพก็คือ การใช้วงจร PDCA เป็นเครื่องมือบริหารระบบคุณภาพ

P คือ (Plan) เป็นองค์ประกอบแรกที่สำคัญที่สุด การวางระบบที่ดีจะต้องกำหนดขั้นตอนการทำงานเป็นกระบวนการ มาตรฐานแต่ละขั้นตอนมีวิธีการปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานและการบันทึกการทำงานทุกขั้นตอนเป็นปัจจุบัน ข้อมูลจากบันทึกนี้จะนำไปสู่การตรวจสอบ ประเมินตนเอง และให้ผู้อื่นตรวจสอบได้เพราะข้อมูลที่ได้จะเป็นสารสนเทศที่จะสะท้อนให้เห็นคุณภาพตามมาตรฐานและตัวบ่งชี้ของระบบย่อยนั้น หลาย ๆ ระบบย่อยก็จะเห็นคุณภาพรวมของโรงเรียนทั้งหมด

D คือ (Do) การดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เป็นการปฏิบัติร่วมกันของทุกคนโดยฐานโรงเรียนตามกระบวนการ วิธีการและบันทึก บุคคลที่รับผิดชอบในองค์กรต้องดำเนินการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง

C คือ (Check) การตรวจสอบ/ประเมินผลทบทวนระบบ เป็นการประเมินตนเองร่วมกันประเมิน หรือผลัดเปลี่ยนกันประเมินเพื่อเป็นการทบทวนการปฏิบัติงาน เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญและจำเป็นมากที่จะพัฒนาคุณภาพ 

A คือ (Action) การแก้ไขพัฒนาระบบ เป็นการนำผลการประเมินมาแก้ไขพัฒนาระบบ ซึ่งอาจแก้ไขพัฒนาในส่วนที่เป็นกระบวนการ (ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานต์, 2547, หน้า 6)


4. ทฤษฎีการบริหารองค์กรตามแนวปฏิบัติการทางสังคม (social action theory)
     ทฤษฎีตามแนวปฏิบัติการทางสังคม มีความเชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนมองโลกตามอัตวิสัย 
“ความจริงที่ปรากฏ” ได้รับการแปลความหมายตามทัศนคติ (อคติ) ของแต่ละบุคคลโลกแห่งความเป็นจริงมิได้ดำรงอยู่ในสภาวะ “วัตถุวิสัย” ฉะนั้นการพิจารณาเป้าหมายขององค์กรว่าเป็นที่เข้าใจตรงกันของทุก ๆ คนนั้นเป็นไปไม่ได้ “เป้าหมาย” จะปรากฏเป็นจริงตามกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มาทำงานร่วมกัน

ขั้นตอนการวางระบบบัญชี


วางแผนการสำรวจและวิเคราะห์
ก. ผังองค์การ นโยบายของบริษัท จะต้องทราบถึงการบริหารงานภายในองค์กร หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นระดับพนักงาน หัวหน้า ผู้จัดการ ผู้อำนวยการหรือกรรมการของกิจการ อีกทั้งควรทราบนโยบายการบริหารงานอำนาจการอนุมัติ
ข. รายละเอียดของสินค้า/บริการ การสำรวจข้อมูลอันเกี่ยวข้องกับตัวสินค้าผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิตสินค้าสำเร็จรูป หรือการให้การบริการแก่ลูกค้า การตั้งราคา การกำหนดต้นทุน การคำนวณหาสินค้าคงเหลือของกิจการ
ค. แยกประเภทของงานบัญชี การเงิน งบการเงิน กำหนดรูปแบบงานบัญชีตามประเภทของการดำเนินงาน แนวทางการจัดทำรายการต่างๆ เพื่อเสนอต่อผู้บริหาร การจัดทำงบการเงินไม่ว่าจะเป็นงบดุล งบกำไรขาดทุน งบกำไรสะสม
ง. ผังแสดงการเดินทางของข้อมูล เอกสาร พิจารณาดูการเดินทางของเอกสารต่างๆ ว่ามีการเดินทางไปแหล่งที่เกี่ยวข้องถูกต้องครบถ้วนตั้งแต่เริ่มออกเอกสารจน สิ้นสุดกระบวนการไม่ว่จะเป็น ใบส่งของ ใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน หรือการออกเอกสารด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์
จ. รายละเอียดของการดำเนินงาน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินงาน การใช้ทรัพย์สิน การจัดซื้อหรือการคิดค่าเสื่อมราคา
ฉ. ข้อมูลทางการตลาด การขาย การประชาสัมพันธ์ การวางแผนการตลาด การกำหนดขั้นตอนในการจำหน่าย การจ่ายค่านายหน้า หรือค่าใช้จ่ายของพนักงานขาย แนวทางการประชาสัมพันธ์
ช. รายละเอียดของการกู้ยืมเงิน สัญญากู้ยืมเงิน การตกลงเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย วันครบกำหนด การชำระดอกเบี้ยหรือคืนเงินต้น วงเงินกู้ หรือเบิกเงินเกินบัญชี
การออกแบบและกำหนดระบบของบัญชี
ก. ผังบัญชี และรหัสบัญชี ผังบัญชีและรหัสบัญชีจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้จัดทำบัญชีสะดวกง่ายต่อ การพิจารณา รายการค้าให้ถูกต้องและรัดกุมยิ่งขึ้น หากสมารถทำคำอธิบายชื่อบัญชีในแต่ละบัญชีได้ ก็จะทำให้ผู้จัดทำบัญชีดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ข. สมุดบัญชีต่างๆ ที่ใช้ในการบันทึกบัญชี การกำหนดรูปแบบของสมุดบัญชีต่างๆ จะต้องสอดคล้องกับกฎหมายบัญชี ส่วนรูปร่างหน้าตาของสมุดบัญชี ในทางปฏิบัติมักจะนิยมใช้สมุดบัญชีรายวันให้ถูกต้อง ผู้ออกแบบจะต้องทำให้สอดคล้องกับนโยบายของกิจการ และคำนึงถึงการตรวจสอบ และควบคุมภายในได้เป็นอย่างดี
ค. เอกสารประกอบการบันทึกบัญชี การออกแบบใบสำคัญจ่าย-รับเงิน เพื่อช่วยในการบันทึกบัญชีให้ถูกต้อง ผู้ออกแบบจะต้องทำให้สอดคล้องกับนโยบายของกิจการ และคำนึงถึงการตรวจอสอบ และควบคุมภายในได้เป็อย่างดี
ง. การจัดทำรายงาน การออกแบบรายงานเพื่อนำเสนอต่อผู้บริหารหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องจะต้องคำนึง ถึงการนำไปใช้ประโยชน์ การพิจารณาหรือการนำไปวิเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์ในการบริหาร
จ. การรองรับระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และภาษีอื่นๆ ในกรณีที่กิจการต้องเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะหรืออยู่นอกระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องพิจารณาถึงเอกสารใบกำกับภาษี รายงานภาษีซื้อ ภาษีขาย และรายงานสินค้าและวัตถุดิบ
การวางแผนการนำออกมาใช้
ก. ทดลองการใช้เอกสาร เส้นทางการเดินของเอกสาร เมื่อได้ออกแบบและกำหนด แนวทางเดินของเอกสารขึ้นมาเรียบร้อยแล้วก็จะเป็นการนำ รูปแบบของเอกสารต่างๆ ออกมาใช้เพื่อพิจารณาดูการเดินของเอกสารว่ามีปัญหาในจุดหรือแหล่งใด หรือผู้ปฏิบัติได้เขียนหรือใช้เอกสารได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์หรือไม่
ข. การลงรายการต่างๆ ในสมุดบัญชี หรือคอมพิวเตอร์ การนำเอกสารรายการค้าบันทึกในสมุดบัญชีหรือคอมพิวเตอร์จะต้องจัดเตรียม ข้อมูล เอกสารเพื่อบันทึกลงในสมุดบัญชีต่างๆ ได้ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาดอย่างไร
ค. การทดลองรายงาน การออกแบบรายงานแล้วนำออกมาใช้มักจะพบปัญหาอย่างหนึ่งก็คือ รายงานที่นำออกมาใช้ยังไม่สามารถให้ข้อมูลอย่างเพียงพอแก่ผู้บริหาร ดังนั้น เมื่อมีการทดลองออกรายงานทางการเงิน ผุ้ออกแบบจะต้องให้ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแนะนำหรือระบุความต้องการเพิ่มเติมเพื่อจะได้นำรายงานออกไปใช้ ให้เกิดประโยชน์
การติดตามผลและปรับปรุงแก้ไขระบบบัญชี      ก. การลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไป ขั้นตอนในการออกเอกสาร การอนุมัติ การเบิก จ่ายเงินการบันทึกรายการบัญชี หากพบว่าขั้นตอนใดซ้ำซ้อน หรือไม่มีความจำเป็นทำให้เกิด ความยุ่งยากเสียเวลาก็ให้ตัดรายการ หรือขั้นตอนนั้นออกไป
ข. ผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน การออกแบบระบบบัญชีมักจะมีผลกระทบต่อการทำงานในระยะเริ่มต้น ผู้ปฏิบัติยังไม่เคยชิน จะต้องอธิบายให้เกิดความเข้าใจว่าจะต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งจึงจะไม่ล่าช้าหรือ เสียเวลา

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

สิงคโปร์ประเทศที่รวยที่สุดในโลกประจำปีนี้




      สิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับ ให้เป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในปีนี้ จากการวัดรายได้ประชากรต่อหัว โดยผู้จัดอันดับเชื่อว่า ในอีก 30 ปีข้างหน้า ตำแหน่งนี้ก็ยังเป็นของสิงคโปร์อยู่ดี เพราะจำนวนเศรษฐีที่อาศัยอยู่ในสิงคโปร์นั้น มีมากขึ้นเรื่อยๆ  Knight Frank บริษัทให้คำปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์และที่พักอาศัย และ Citi Private Bank เปิดเผยผลการจัดอันดับ ประเทศที่ร่ำรวยมากที่สุดในโลก โดยวัดจากรายได้ประชากรต่อหัว ซึ่งตำแหน่งดังกล่าว ตกเป็นของประเทศสิงคโปร์ ประเทศเล็กๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ประชากรมีรายได้เฉลี่ย 56,532 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,780,000 บาทต่อคน ซึ่งถือเป็นรายได้ที่สูงที่สุด แซงหน้าประเทศนอร์เวย์ สหรัฐอเมริกา และฮ่องกงโดยในรายงานดังกล่าวยังมีการคาดการณ์ว่า อีก 30 ปีข้างหน้า สิงคโปร์ก็จะยังครองตำแหน่งประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และมีประเทศฮ่องกง ไต้หวัน และเกาหลีใต้ตามมาติดๆ ขณะที่ นอร์เวย์และสวิตเซอร์แลนด์ จะสูญเสียตำแหน่งดังกล่าวไป ซึ่งรายงานดังกล่าวเป็นไปตามการคาดการณ์ของใครหลายคน เนื่องจากสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีเศรษฐีใหม่ ที่มีสินทรัพย์เกินกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จำนวนเศรษฐีที่มีสินทรัพย์เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 80 และจำนวนเศรษฐีใหม่เหล่านี้ ยังคงเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง สิงคโปร์ยังเป็นประเทศที่มีสัดส่วนจำนวนเศรษฐีต่อจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกอีกด้วยและเมื่อเทียบกับจำนวนของเศรษฐีที่มีสินทรัพย์เกิน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่มีอยู่ทั่วโลกนั้น สิงคโปร์มีจำนวนมากถึง 18,000 คน ซึ่งมากกว่าปริมาณของเศรษฐีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน และญี่ปุ่นรวมกัน ซึ่งในทวีปอเมริกาเหนือนั้น มีเพียง 17,000 คน และในยุโรปมีเพียงแค่ 14,000 คนเท่านั้นนอกจากสิงคโปร์จะเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกแล้ว ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีความสำคัญที่สุดของบรรดากลุ่มเศรษฐีลำดับที่ 5 ของโลก รองจากกรุงลอนดอน , นครนิวยอร์ก , ฮ่องกง และกรุงปารีส เนื่องจากสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความรู้ความสามารถ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์ได้เปรียบประเทศคู่แข่งอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด

อาหารประจำชาติอาเซียน

อาหารประจำชาติฟิลิปปินส์ – adobo ( อโดโบ้ )
อาหารประจำชาติอินโดนีเซีย - Bakmi Goreng ( บาคมิ โกแร๊ง
อาหารประจำชาติมาเลเซีย - Nasi Lemak ( นาซิ เลอมัก )
อาหารประจำชาติสิงคโปร์ – ข้าวมันไก่สิงคโปร์
อาหารประจำชาติบรูไน - Udang Sambal Serai Bersantan
( ยูดาน ซามบาล ซีไร เบอซานตา )
อาหารประจำชาติกัมพูชา - Amok ( อาม็อก)
อาหารประจำชาติลาว – ส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง
อาหารประจำชาติไทย – Tom Tam Goong (ต้มยำกุ้ง)
อาหารประจำชาติเวียดนาม – Pho ( เฝอ )
อาหารประจำชาติเมียร์ม่า (พม่า) – Mo Hin Ga
(ขนมจีนน้ำยาป่าปลาช่อน-หยวกกล้วย สูตรพม่า )

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

10 เกาะสวย-ดีที่สุดในโลก



  อันดับ 10 เกาะแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา

           อันดับที่ 9 เกาะบิ๊ก ไอส์แลนด์ ฮาวาย สหรัฐอเมริกา (ตกจากปีที่แล้วอยู่อันดับ 7)

           อันดับที่ 8 หมู่เกาะมัลดีฟส์ สาธารณรัฐมัลดีฟส์

           อันดับที่ 7 หมู่เกาะเอโอเลียน ประเทศอิตาลี

           อันดับที่ 6 เกาะมาอูอิ ฮาวาย สหรัฐอเมริกา (ตกลงมาเยอะเพราะปีที่แล้วอยู่อันดับ 3)

           อันดับที่ 5 เกาะ Mount Desert ในรัฐเมน สหรัฐอเมริกา

           อันดับที่ 4 เกาะคาอูอิ ฮาวาย สหรัฐอเมริกา (คงเส้นคงวาเพราะปีที่แล้วอยู่อันดับ 4)

           อันดับที่ 3 เกาะเคป เบรตัน ในรัฐโนวา สโกเชีย ประเทศแคนาดา (ปีนี้ผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก กระโดดจากปีที่แล้วอยู่อันดับ 10)

           อันดับที่ 2 หมู่เกาะกาลาปาโกส ประเทศเอกวาดอร์ (เป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับโลกมาตลอดแต่ปีนี้ไม่ได้แชมป์แต่กลับเป็นรองแชมป์แทนเพราะปีที่แล้วอยู่อันดับ 1)

           อันดับที่ 1 เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย (เอเซียในบ้านเรามีสถานที่สวยงามและน่าสนใจเหมือนกัน และก็ติดอันดับโลกมาตลอดเช่นกัน ปีนี้ไต่ขึ้นเป็นแชมป์ หลังเมือปีก่อนอยู่อันดับ 2)
10 วิธี การกินอย่างฉลาด article
      
    ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง ใน เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ ถึง แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
   ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!

อย่าสร้างปัญหา... เมื่อมันไม่มี
 
 
"ทำงานแบบนี้ มีปัญหากับแฟนไหมลูก ?" เห็นลูกต้องทำงานแบบไม่ลืมหูลืมตาจนโงหัวไม่ขึ้น วันธรรมดาก็ปาเข้าไปสามทุ่มสี่ทุ่ม เสาร์อาทิตย์ก็ต้องออกไปต่างจังหวัดบ่อย ๆ กิจกรรมการใช้ชีวิตส่วนตัวก็เหลือน้อยลงกว่าปกติ

สถานการณ์แบบนี้เคยเจอกับตัวเองมาแล้ว ความบ้างานมันติดจนเป็นนิสัย ทำให้การให้ความสำคัญเรื่องอื่นเป็นรอง และมันก็เกิดผลกระทบตามมา ที่ทำให้ต้องเสียใจหลายต่อหลายเรื่อง

มีแฟนก็มีปัญหาเพราะไม่มีเวลาให้ นัดไม่เป็นนัด ภารกิจมันมาก่อน ทำให้ความสัมพันธ์เสื่อมคลาย

มีครอบครัวก็ไม่ราบรื่น เพราะถูกกล่าวหาว่าเราไม่ได้แต่งงานกับเค้า แต่เราแต่งกับงาน การต้องเป็นเมียหลวงที่ตกอยู่ในสภาพเหมือนเมียน้อย เพราะเมียหลวงที่แท้จริงคือน้องงาน ทำให้ทนกินน้ำใต้ศอก ไม่ไหว

"ก็มีนิดหน่อยพ่อ แต่ไม่ซีเรียส เพราะแฟนเค้าก็ทำงานในฟิลด์เดียวกัน แต่คนละบริษัท เค้าเข้าใจว่างานมันเป็นยังไง เพียงแต่เค้าไม่เข้าใจว่า ทำไมงานผมมันมากมายกว่าของเค้าถึงขนาดนั้น"

"ก็ดีไปลูก โชคดีไป แต่ก็อย่าชะล่าใจนักนะ พ่อเคยเจอมาแล้ว ประมาณว่า "เข้าใจแต่ทำใจไม่ได้" เจอลูกนี้เข้าจะไปไม่ถูกเอาเลย

แบ่งเวลาให้ดีลูก แบ่งให้เป็น ชีวิตเรามันต้องมีทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวควบคู่กันไป เฉลี่ยเวลาให้เหมาะสม ให้ความสำคัญกับมันให้ถูกจังหวะและสถานการณ์ พ่อมีบทเรียนเรื่องแบบนี้มาบนความผิดหวัง เพราะพ่อแต่งงานเร็วไป ดันเริ่มมีชีวิตคู่พอดีกับการเริ่มต้นไต่เต้าชีวิตการงาน โอกาสมันมาจ่อพ่อตรงหน้า เหมือนอยู่ดี ๆ ก็มีคนเอาบันไดมาวางพาดให้

ถ้าไม่ฉวยจังหวะนั้นก้าวขึ้นบันได พ่อก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสแบบนั้นมาอีก พ่อเลือกเอาโอกาสของชีวิต และให้ครอบครัวรอพ่อก่อน เอาเวลาและทุกอย่างไปทุ่มให้กับงาน แทบจะไม่มีเหลือให้ครอบครัว

ผลก็คือ พ่อก้าวขึ้นไปได้ด้วยจังหวะนั้น แต่ต้องผิดหวังกับครอบครัวจนถึงขั้นล่มสลาย บทเรียนนี้ทำให้เกิดการวิเคราะห์ขึ้นมาว่า พ่อทำผิดหรือทำถูก

พ่อคิดว่าพ่อทำถูก คนที่ทำงานเป็นลูกจ้าง การจะได้แสดงความรู้ ความสามารถ เพื่อจะได้พิสูจน์คุณค่าของตัวเองได้ก็ต่อเมื่อคนเป็นนายเขาหยิบยื่นโอกาสให้แสดง เมื่อเขาเอาโอกาสมาให้ เอาบันไดมาตั้ง ไม่ฉวย ไม่ไต่ขึ้นไป เพียงเพราะกลัวว่าครอบครัวจะไม่พอใจที่เหลือเวลาให้เค้าน้อย ก็ไม่ควรที่จะวางเป้าหมายของชีวิตในการทำงาน ว่าจะก้าวขึ้นไปถึงไหน อย่างเก่งก็ทำงานไปวัน ๆ มีความสุขแบบพอเพียงกับทั้งงานและครอบครัว

แต่พ่อวางเป้าไว้ว่า จะต้องไต่เต้าขึ้นไปสู่ระดับบริหารให้ได้ ที่ตั้งไว้ขนาดนั้นเพราะพ่อมีเหตุผล เมื่อฐานะของพ่อเริ่มต้นด้วยเลขศูนย์ ต้องทำและสร้างทุกอย่างจากสมองและสองมือของตัวเองเท่านั้น ยิ่งมีครอบครัว มีลูก ความรับผิดชอบนั้นใหญ่หลวงนัก ลำพังเงินเดือนลูกจ้างระดับธรรมดา หรือไปเอาดีทางความรู้ด้านช่างอย่างเดียวที่ร่ำเรียนมา ขึ้นถึงระดับสูงสุดมันก็ได้ไม่เท่าไหร่

แต่หากขึ้นไปทางด้านบริหาร ตำแหน่งมันไม่ตัน รายได้ก็ไม่ตันด้วย แถมตัวเรายังชอบทางด้านนี้อีกต่างหาก ได้ทำสิ่งที่รักที่ชอบ แถมเงินเดือนก็สูง มีรายได้มาก ก็จะทำให้สามารถรับผิดชอบครอบครัวได้ดี ทำให้คุณภาพของทุกชีวิตในครอบครัวสบาย มีความสุข สร้างหลักฐาน สร้างหลักประกันสำหรับอนาคตของลูก ๆ ดังนั้นพ่อจึงเลือกเอาโอกาสมาก่อนเสียงเรียกร้องของครอบครัว ผลคือพ่อไปได้อย่างที่คิด แต่ครอบครัวไปไม่รอด

สรุปแล้วพ่อคิดว่าพ่อคิดถูก แต่ทำผิดจังหวะ จังหวะที่ผิดคือดันแต่งงานเร็วไป หากมาแต่งตอนที่พ่อก้าวขึ้นบันไดไปแล้ว ผลมันก็จะไม่ลงเอยแบบที่เป็น ที่เอามาเล่าให้ลูกฟังก็เพื่อให้เรียนรู้ไว้เป็นข้อมูลเอาไว้ไตร่ตรอง ว่าเราต้องหัดคิดและมองสิ่ง ต่าง ๆ รอบตัวให้รอบคอบ ก่อนที่จะ ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิต หรือจะทำอะไรก็ตามที่มีแฟกเตอร์คนอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย"

ที่จริงกำลังพยายามจะบอกลูกว่า อย่าเพิ่งคิดแต่งงาน มีชีวิตคู่ตอนนี้ มันเป็นจังหวะที่ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เพราะช่วงนี้สำหรับลูกก็ไม่ต่างไปจากสมัยที่ตัวเองเริ่มงาน ต้องหาโอกาสให้ตัวเอง จะได้หรือไม่ก็อยู่ที่ตัวเองต้องสำแดงพลังและคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถที่อยู่ในตัวออกมาให้เขาเห็นแววก่อน เมื่อเขาเห็นเขาก็จะลองหยิบยื่นโอกาสให้ทดลอง เขาจะทดสอบเรา

หรือแปลว่า เราต้องทำก่อน แสดงก่อน นายเขาถึงจะมองเรา ไม่ใช่นั่งคอยรอคอยเฉย ๆ การทุ่มเทให้กับงานจึงเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเปิดประตูโอกาสให้ตนเอง

แต่ไม่อยากพูดชัดถึงขนาดนั้น อยากให้ลูกได้คิดเอาเองมากกว่า สไตล์เราเองก็ไม่ชอบออกคำสั่งใครอยู่แล้ว แม้แต่กับลูกน้องด้วยซ้ำ จะมีที่พูดชัด ๆ กับลูก ๆ ทุกคนไว้ก็คือ "อย่าเพิ่งคิดแต่งงานเด็ดขาด หากยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ยังยืนบนขาตัวเองไม่ได้ การเป็นลูกผู้ชาย หน้าที่สำคัญคือความรับผิดชอบ จะมีครอบครัวก็ต้องมีความสามารถที่จะรับผิดชอบเค้าได้ เลี้ยงดูทำให้เค้ามีความสุขได้

ยิ่งมีลูกขึ้นมาก็จะยิ่งต้องรับผิดชอบหนักและยาวขึ้นอีก มีเมียมีง่ายจะตาย มีลูกก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ แต่มีแล้วจะรักษาและรับผิดชอบให้ดีและให้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สักนิด โคตรยากเลย จะบอกให้

ปัจจัยสำคัญอันดับต้นคือเงิน ความรักความเข้าใจอย่างเดียวไม่พอหรอก แรก ๆ มันอาจจะพอแหละ แต่พอนานเข้า ๆ มันจะไม่มีทางพอ เมื่อคุณภาพชีวิตมันแย่ เมื่อลูก ๆ ต้องเรียนหนังสือให้สูงที่สุดเท่าที่เราจะผลักดันได้ อนาคตของพวกเขาคือ เดิมพันชีวิตเราเอง

มันก็อยู่ที่จะต้องใช้สมอง สองมือ และพลังใจที่แข็งแกร่ง ต่อสู้เพื่อจะให้อนาคตแก่ทุก ๆ คนที่เรารับผิดชอบ ทุนของเรามีอยู่แค่นี้ จะทำให้มันสำเร็จได้ก็ต้องทุ่มเททุกอย่างที่มีเพื่อแลกกับมันมา

ต่อมาคือความอดทน ความเข้าใจ การให้เกียรติกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัย ยืดหยุ่น และการปรับตัว ตอนเป็นแฟนกันอะไร ๆ ก็ดีไปหมด เขาจะเป็นยังไงยอมรับได้ทั้งนั้น มองแต่ด้านดี คิดแต่ด้านดี ทุกอย่างสวยงามและมีความสุข แต่พอแต่งงานและอยู่ด้วยกัน สิ่งที่อีกฝ่ายเป็นตอนก่อนหน้านั้น กับเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้ว มันกลายเป็นคนละเรื่อง คนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงจะต้องได้คู่ที่ยินดีจะเดินตามหลังทุก ฝีก้าว ทุกเรื่อง ถึงจะอยู่กันได้ยืด ไม่มีปัญหาเรื่องครอบครัว

"มีแฟนแบบนี้ก็ดีแล้วลูก คนที่ทำงานด้วยกันย่อมน่าจะเข้าใจกันแบบนี้ แต่ในฐานะผู้ชายด้วยกันพ่ออยากเตือนอะไรไว้เกี่ยวกับไอ้เรื่องความใกล้ชิดในที่ทำงาน เพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้หญิง อย่าเผลอใจไปปิ๊งใครเข้า ไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่คิดไม่ถึงเอาได้ คือหากเราไม่มีแฟน ไม่มีคนที่เรารู้สึกเป็นพิเศษอยู่แล้ว มันก็ไปอย่าง

แค่งานมันก็มีปัญหามากมายอยู่แล้วมาสร้างปัญหาหัวใจ ปัญหาส่วนตัวขึ้นมาอีก พ่อจะบอกให้ว่า ลูกจะเสียศูนย์ไปเลย เพราะไม่มีสมาธิในการทำงาน หัวสมองมันคอยมีเรื่องส่วนตัวนี่มาแจมตลอด หงุดหงิด คิดอะไรก็ไม่ออก งานก็จะดร็อป นายก็จะผิดหวัง และในที่สุดมันก็ส่งผลมาถึงตัวเรา กลายเป็นว่าอะไร ๆ ก็ดีแต่มาเสียเรื่องผู้หญิง แล้วมันคุ้มไหมกับเวลาที่เรามุ่งมั่นและฝ่าฟันมา

จำไว้ให้ดีนะลูก พ่อน่ะผ่านมาแล้ว เคยเผลอใจมาเหมือนกัน แต่หักห้ามได้ มันอาจจะด้วยฐานะในการที่เป็นหัวหน้า เป็นนายเค้า ขืนไปกุ๊กกิ๊กกับลูกน้อง ผู้หญิงมันจะเสียมากกว่าการเป็นแค่เพื่อน ร่วมงานธรรมดาหลายเท่า ขนาดไม่เคยออฟไซด์ที่บ้านยังเป่าปรี๊ด ๆ อยู่เรื่อย อารมณ์เสียและหงุดหงิดจะตายไป"

"วิธีกำกับเส้นทำยังไงพ่อ ?"

"ทำใจสิวะ อยู่ที่ใจเราเอง ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก เราห้ามใจเราเองได้ ยังไงปัญหาก็ไม่เกิด"
  
วิธีการบริหารเงินตามวัย
 
 
วัย 20 ปี เศษ 

คนโสดวัยนี้ยังไม่มีห่วงเรื่องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือซ่อมบ้าน ยังเพลิดเพลินกับการจับจ่ายโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะเพิ่งมีรายได้เป็นของตนเอง ยังคิดว่าการเก็บหอมรอมริบเป็นเรื่องของคนวัย 30 ปีขึ้นไปแต่อย่าประมาท เพราะวัยนั้นจะมาถึงในเวลาอันรวดเร็ว 

วิธีการบริหารเงิน 
รู้จักเก็บออม สร้างวินัยด้วยการเจียดเงินสักก้อนเพื่องลงทุนในกองทุนใดกองทุนหนึ่งหรือเปิดบัญชีเงินฝากประจำ แล้วนำเงินเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอด้วยยอดเงินที่คงที่ วิธีนี้เป็นการป้องกันการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยทางหนึ่ง 

ปรึกษานักวางแผนการเงิน 
หรือผู้เชี่ยวชาญของธนาคารและบริษัทเงินทุนว่ามีข้อแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนเรื่องพันธบัตรหรือหุ้นกู้ระยะกลางหรือระยะยาวตัวไหนได้บ้าง การลงทุนระยะสั้นเป็นการออมเพื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่นแต่งงานหรือดาวน์บ้าน ส่วนการลงทุนระยะยาวเป็นการเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณ 

ซื้อประกันชีวิต 
ควรทำประกันชีวิตใว้ตลอดชีพไว้อย่างน้อย 
1 กรมธรรม์เมื่ออายุยังน้อย เพราะเบี้ยประกันจะสูงตามอายุของผู้เอาประกัน นอกจากนี้ควรศึกษารายละเอียดการเอาประกันสุขภาพของบริษัทที่ทำงานว่ามีอะไรบ้าง แวหาซื้อประกันสุขภาพสำหรับการเจ็บป่วยที่บริษัทไม่ได้ครอบคุมเผื่อกรณีฉุกเฉิน เงินกันชน เก็บเงินก้อนหนึ่งสำรองไว้สำหับกรณีเหตุฉุกเฉินโดยเปิดบัญชีประจำไว้ แต่อย่าถอนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ 

วัย 30 ปีเศษ 

วัยนี้กำลังเตรียมแต่งงานหรือเริ่มเป็นพ่อแม่ ค่าใช้จ่ายในครอบครัวก็มากขึ้น ในขณะที่การออมเงินทำได้น้อยลง 

วิธีการบริหารเงิน 
ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินแนะนำว่าควรใช้งบไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินที่สะสมไว้ 
ประกันชีวิตให้ลูก ซื้อประกันชีวิตให้ลูกทุกคน จนถึงเวลาที่พวกเขาโตพอที่จะชำระเบี้ยประกันเองได้ 
ออมเงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้ลูก ฝากเงินด้วยจำนวนเงินที่แน่นอนทุกเดือน 
เพิ่มค่าเงินเวลาผ่อนรถ ศึกษาเปรียบเทียบว่าอัตราดอกเบี้ยคงที่หรือลอยตัวดีกว่ากัน เช่นถ้ารู้ว่าดอกเบี้ยกำลังจะขึ้น อัตราคงที่ดูจะดีกว่าเพราะสามารถชำระในอัตราที่ต่ำต่อไปได้ แต่ถ้าดอกเบี้ยกำลังจะลง แบบลอยตัวจะเหมาะกว่า ส่วนการผ่อนบ้านให้เลือกแบบที่ผ่อนนานๆ เลือกจำนวนเงินผ่อนแต่ละเดือนที่ไม่ทำให้เราลำบากเกินไป โดยเปรียบเทียบข้อเสนอของแต่ละธนาคาร 

วางแผนยามเกษียณ 
หลังจากแบ่งส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับการผ่อนบ้าน ผ่อนรถเรียบร้อย ก็ควรวางแผนเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้ใช้หลังเกษียณ 

วัย 40 ปีและ 50 ปีเศษ 
คนวัยนี้จะสุขุมรอบคอบและควรหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาระ เช่น การขยับขยายที่อยู่อาศัย หรือการลงทุนซื้อรถคันใหญ่ขึ้น เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระทางการเงินและยืดเวลาการชำระหนี้ให้เนิ่นนานออกไปอีกและถ้าหากมีคู่ชีวิตด้วยก็ยิ่งต้องวางแผนให้ดีจะได้มีความสุขในบั้นปลายของชีวิต 

การบริหารทรัพยากรบุคคล > ระบบนักบริหารระดับสูง


องค์ประกอบของระบบนักบริหารระดับสูง
PDF
พิมพ์
อีเมล
 ระบบนักบริหารระดับสูง ประกอบด้วย
-โครงสร้างตำแหน่งนักบริหารระดับสูง
-การจัดทำบัญชี
-กระบวนการเลือกสรรนักบริหารเพื่อการแต่งตั้ง
-กลไกการเลือกสรรเพื่อแต่งตั้งนักบริหารระดับสูง (นักบริหาร 9)
-อำนาจในการแต่งตั้ง
-การโยกย้ายสับเปลี่ยนนักบริหาร 9
-การพัฒนานักบริหารระดับสูง
-การประเมินผลการปฏิบัติงาน
-การกำหนดค่าตอบแทนของนักบริหารระดับสูง
-แผนการนำระบบนักบริหารสูงมาใช้ในราชการพลเรือนไทย
 

บทบาทของการบัญชีต้นทุนต่อการบริหาร


ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบัญชีต้นทุน บทบาทของการบัญชีต้นทุนต่อการบริหาร

            การบริหารกิจการให้ประสบความสำเร็จนั้น ฝ่ายจัดการต้องมีกระบวนการจัดการที่ดี ซึ่งจะช่วยให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล กระบวนการจัดการที่สำคัญประกอบด้วย
2.1 การวางแผน (Planning) หมายถึง การกำหนดแผนงานที่จะทำในอนาคตรวมถึงวีการทำงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ แผนงานที่ดีต้องสอดคล้องกับนโยบาย และเป้าหมายของกิจการ การทำงานอย่างมีแผนงานชัดเจนจะช่วยให้พนักงานระดับปฏิบัติการทำงานอย่างถูกทิศทาง ส่งผลให้สามารถควบคุมการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายขององค์การ ในกรณีที่มีปัญหาก็สามารถแก้ไขได้ถูกจุด และปรับแผนงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ องค์กรที่มีขาดใหญ่ยิ่งจำเป็นต้องมีแผนงาน เพื่อประโยชน์ในการบริหารและติดตามผล เนื่องจากฝ่ายจัดการระดับสูงไม่สามารถจะควบคุมการทำงานได้อย่างทั่วถึง การกำหนดวัตถุประสงค์และแนวทางในการปฏิบัติงานนั้น โดยปกติแล้วจะต้องเป็นการวางแผนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งข้อมูลทางด้านบัญชีต้นทุนและข้อมูลด้านอื่น ๆ ก็จะถูกนำมาทำการวิเคราะห์เพื่อการวางแผนเหล่านี้ เช่น การวางแผนในกลยุทธ์เกี่ยวกับการกำหนดระดับผลผลิต สัดส่วนการผลิต ราคาขาย การเลือกผลิตสินค้าที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง การเพิ่มสายการผลิต การขยายโรงงาน การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและกระบวนการผลิต เป็นต้น
            2.2 การจัดสายงานละการจัดหาบุคลากร (Organizing and Staffing) หมายถึง การจัดสายงานในองค์กรการจ้างบุคลากรที่เหมาะสมรวมถึงการฝึกอบรมพนักงาน โดยการมอบหมายอำนาจและหน้าที่ในสายงานจะต้องเป็นไปอย่างเหมาะสม และชัดเจน เพื่อให้เกิดทั้งความรับผิด และ รับชอบ กาจัดสายงานโดยปกติจะสอดคล้องกับแผนงานที่วางไว้ ในปัจจุบันได้นำการจัดทำบัญชีตามความรับผิดชอบมาใช้ในการจัดวางระบบข้อมูลเพื่อการวางแผนและควบคุมได้ยอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดทำบัญชีตามความรับผิดชอบ การบัญชีต้นทุนกิจกรรม เป็นต้น
            2.3 การอำนวยการ (Directing) หมายถึง กระบวนการบริหารงานประจำวันให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ การอำนวยการที่ดีต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ การมีภาวะผู้นำ การลงมือปฏิบัติอย่างมีจังหวะเหมาะสมทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ มีความเข้าใจและสื่อสารในการทำงาน รวมถึงมีการตัดสินใจที่ดีเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำการตัดสินใจ ปัญหาและข้อขัดแย้งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติงานประจำวันจะต้องมีการแก้ไขให้หมดไปและทันเหตุการณ์เพื่อให้เกิดการประสานการทำงานที่ดีในสายงานขององค์กร ขั้นตอนการอำนวยการมีความสำคัญมาก เพราะช่วยปฏิบัติให้ดำเนินงานเป็นไปตามนโยบายและแผนได้ ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่ฝ่ายจัดการต้องการมาจากรายงานของสายงานต่าง ๆ ในขั้นตอนนี้
            2.4 การควบคุม (Controlling) หมายถึง การควบคุมในทางบริหารซี่งจะควบคุมโดยการวัดผลงานที่เกิดขึ้นจริงกับแผนงานที่วางไว้ การบริหารโดยข้อยกเว้น ( Management by Exception) จะนำมาใช้ คือ ผลิงานที่เกิดขึ้นจริงไม่ว่าจะแตกต่างจากแผนในทางที่พอใจ หรือไม่พอใจ จะถูกนำมาพิจารณาหาสาเหตุเพื่อหาทางแก้ไข เช่น ข้อมูลยอดขายที่กิจการทำในปีนี้สูงกว่าเป้าหมายหรือแผนมาก อาจเป็นสาเหตุจากการจัดทำแผนการขายต่ำเกินไป หรือปริมาณการใช้วัตถุดิบในการผลิตสูงกว่ามาตรฐานมาก ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ที่ไม่ประหยัด พนักงานฝีมือไม่ดี หรือคุณภาพของวัตถุดิบต่ำ หรือ ถ้างบประมาณการผลิตได้วางแผนการผลิตไว้ 200,000 หน่วย และในการผลิตจริง ฝ่ายผลิตก็สามารถทำการผลิตได้ 200,000 หน่วยหรือมากกว่า ก็จะแสดงว่าฝ่ายผลิตทำงานอย่างมีประสิทธิผล ส่วนการวัดประสิทธิภาพ คือ การพิจารณาการใช้ทรัพยากรว่าในการบรรลุวัตถุประสงค์นั้นมีการใช้ทรัพยากรมากหรือน้อยกว่าที่วางแผนไว้ เช่น ถ้าตามงบประมาณการผลิต 200,000 หน่วย ต้องใช้ต้นทุนการผลิต 4,000,000 บาท และถ้าในทางปฏิบัติจริง ฝ่ายผลิตได้ทำการผลิตครบ 200,000 หน่วย แต่ใช้ต้นทุนในการผลิตทั้งหมดเท่ากับ 4,050,000 บาท ก็แสดงว่าฝ่ายผลิตยังทำงานไม่มีประสิทธิภาพตามแผนที่วางไว้ เป็นต้น ดังนั้นระบบการควบคุมจึงมีความสำคัญมากและเครื่องมือที่สำคัญที่ผู้บริหารใช้ในการควบคุม คือ การรายงานผลการปฏิบัติงานควบคู่กับการออกตรวจงานภาคสนาม
            จะพบว่ากระบวนการในการบริหารทั้ง 4 ขั้นตอน จำเป็นต้องมีการตัดสินใจ Decision Making) ซึ่งเป็นการหาข้อยุติโดยการตัดสินใจเลือกทางปฏิบัติที่ดีที่สุด เพื่อให้แผนงานหรือปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละกระบวนการสามารถแก้ไขต่อไปได้และทันเวลา การตัดสินใจที่ดีต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องและสมเหตุสมผล รวมทั้งประสบการณ์ในการวินิจฉัยข้อมูลในแต่ละทางเลือก เทคนิคและวิธีการในการวางแผนและควบคุมของแต่ละกิจการ ก็ย่อมที่จะมีความแตกต่างกันออกไปตามลักษณะ ประเภท และขนาดของธุรกิจ องค์ประกอบดังกล่าวเป็นเรื่องที่ฝ่ายจัดการต้องดำเนินการเป็นขั้นตอน และต้องมีการประสานงานระหว่างขั้นตอนต่างๆ อย่างใกล้ชิด ดังภาพ

วัตถุประสงค์เบื้องต้นของการบัญชีต้นทุน คือการคำนวณต้นทุนขายและการแสดงสินค้าคงเหลือ เพื่อจัดทำงบการเงินต่อไป ในส่วนของการบริหารจัดการสามารถจะนำข้อมูลทางด้านการบัญชีต้นทุนมาใช้ในการบริหารในเรื่องต่างๆ ได้ดังนี้
1) การควบคุม (Control) ในการประเมินผลงานที่ปฏิบัติว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ ฝ่ายจัดการต้องทราบถึงข้อมูลที่แท้จริงแล้วนำมาเปรียบเทียบกับแผนงานที่วางไว้ ซึ่งอาจกำหนดในรูปของงบประมาณหรือต้นทุนมาตรฐาน หากผลที่เกิดขึ้นจริงแตกต่างจากงบประมาณหรือมาตรฐานที่กำหนดไว้ จะก่อให้เกิดผลต่างที่พอใจหรือไม่พอใจ ผลต่างดังกล่าวจะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุของปัญหาตลอดจนเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยจัดทำเป็นรายงานประกอบ
2) การวางแผนกำไรและตัดสินใจ (Profit Planning and Decision Making)ข้อมูลด้านต้นทุน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านการวางแผนกำไรและตัดสินใจ เช่น การวิเคราะห์หาจุดคุ้มทุนหรือการตัดสินใจระยะสั้นในกรณีต่างๆ ได้ เช่น การปิดโรงงานชั่วคราว การรับผลิตสินค้าในราคาต่ำกว่าต้นทุนขาย การยกเลิกสายผลิตภัณฑ์ที่ขาดทุน เป็นต้น
3) การเพิ่มประสิทธิภาพ (Maximize Efficiency) การเพิ่มประสิทธิภาพสามารถกระทำได้โดยการวัดผลการดำเนินงานตามความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานได้ โดยใช้วิธีการบัญชีตามความรับผิดชอบ (Responsibility Accounting) การบัญชีต้นทุนกิจกรรม(Activity-based Costing) การบริหารคุณภาพ (Total Quality Management) เป็นต้น
            4) การงบประมาณ (Budgeting) ในการจัดทำงบประมาณของธุรกิจ จำเป็นจะต้องอาศัยข้อมูลทางด้านบัญชี ซึ่งแสดงถึงผลงานในอดีตที่ผ่านมารวมทั้งการพยากรณ์ในอนาคต ฝ่ายจัดการต้องพยากรณ์รายได้หรือยอดขายเพื่อทราบถึงสัดส่วนการตลาด และนำยอดขายหรือปริมาณขายมาวางแผนการผลิต และจัดทำงบประมาณการผลิต งบประมาณลงทุน และงบประมาณดำเนินการ รวมถึงประมาณการกำไรขาดทุนและงบดุล ตลอดจนงบประมาณเงินสด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารการเงินด้านต่าง ๆ ให้อยู่ในกรอบหรือแผนงบประมาณที่กำหนด ข้อมูลการวางแผนงบประมาณที่ดีต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงในอดีต เช่น ข้อมูลด้านต้นทุนการผลิต ค่าใช้จ่ายการขาย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

เป็นเพลงสากลที่เราคิดถึงจริง ๆ ยิ่งฟังยิ่งเพราะ นานก็เข้ามาฟังที

เรียนรู้ความสำเร็จผ่านทางลัด จาก 5 กูรูตำนานการลงทุน

"ถ้าคุณต้องการสร้างความมั่งคั่ง ให้เข้าใจในสิ่งที่นักลงทุนเก่งกาจฉลาดที่สุดในโลกเขาทำกัน" เป็นวลีเด็ดของ ลาร์รี คัดโลว แห่งซีเอ็นบีซี หลังอ่านงานเขียนเรื่อง "The Big Win" ของ สตีเฟ่น ไวส์ นักค้าหุ้นมือโปร ที่เชื่อว่าการเรียนรู้ประสบการณ์การลงทุนที่สั่งสมมานาน จากกลุ่มนักลงทุนชื่อดังผู้เป็นตำนานมีชื่อเสี่ยงโด่งดังรู้จักระดับโลก ไม่ใช่เรื่องเสียเวลาแต่กลับมีคุณค่าอย่างยิ่ง และคัดโลวได้รวบรวมส่วนหนึ่งจากงานเขียนของไวส์ ที่ โดนใจ Fundamentals สัปดาห์นี้ อยากนำเสนอถ่ายทอดมุมมอง พร้อมประสบการณ์การลงทุนของ 5 เซียนกูรูการลงทุนชื่อดัง ซึ่งบางคนเป็นที่รู้จักของนักลงทุนไทยทั่วโลกเป็นอย่างดี หวังเป็นประโยชน์ให้นักลงทุนไทยสามารถเพิ่มภูมิความรู้การลงทุนในสไตล์ฝรั่งตะวันตกได้บ้าง ไม่มากก็น้อย 

0 อัลเฟรด โทบแมน 

เอ. อัลเฟรด โทบแมน เกิดในปี 2467 เป็นกูรูตำนานการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่มีชื่ออาจไม่คุ้นหูคนไทยนัก แต่ถ้าถามไถ่ผู้เชี่ยวชาญในโลกธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โทบแมนถือเป็นหนึ่งในนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ซีบีเอส นิวส์ เคยยกย่องให้โทบแมน เป็นตำนานของธุรกิจค้าปลีกโดยใช้คำว่า “a legend in retailing” เขาสร้างชอปปิงมอลล์สมัยใหม่ เป็นผู้ยกระดับธุรกิจพัฒนาพื้นที่สร้างธุรกิจค้าปลีกไปพร้อมๆ กับห้างหรือศูนย์การค้า เพราะโทบแมนก่อตั้ง “โทบแมน เซ็นเตอร์ส” บริษัทพัฒนาภูมิสถาปัตยกรรม ไปเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกทรงอิทธิพลมีห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้า รายรอบด้านนอกย่านชานเมือง ที่เป็นสถาปัตยกรรมดึงดูดใจนักช้อปนักเที่ยวได้อย่างแท้จริง ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 โทบแมนเกิดไอเดียแตกต่างด้วยการออกแบบไม่เหมือนใคร เพียงแนวคิดฉีกออกไปจากเดิม สร้างสรรค์สถาปัตยกรรมเชิงพาณิชย์รูปแบบใหม่ๆ ที่ไม่ทำลายทัศนียภาพตามโครงสร้างสมเหตุสมผล ทำให้ปัจจุบันบริษัทของโทบแมน ยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทมากมายจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ด้วยมาร์เก็ต แคป ปัจจุบันมากถึง 4.5 พันล้านดอลลาร์ เทียบเป็นเงินไทยเกือบ 1.4 แสนล้านบาท บทเรียนกับความสำเร็จของโทบแมน คือ ลงมือค้นคว้าวิจัยหาสิ่งที่แปลกแตกต่างไปจากเดิม แม้ว่าช่วงแรกสิ่งนั้นดูเหมือนเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อหรือไม่น่าเป็นไปได้ ความสำเร็จมากมายอย่างที่โทบแมนได้รับ มาจากการนำเสนอไอเดียแหวกแนว สร้างความเพลิดเพลินบันเทิงให้ควบคู่กับธุรกิจการลงทุน ดังนั้น ให้ลองวิเคราะห์หาสิ่งแตกต่างไปจากเดิมคิดนอกกรอบ อาจทำให้เรื่องราวที่เป็นแค่เพียงความคิดของคุณ กลายเป็นเรื่องจริงสิ่งที่เป็นไปได้ 

0โรเจอร์ส จูเนียร์ 


ชื่อข้างต้นคงไม่คุ้นหูเหมือน จิม โรเจอร์ส เจ้าของฉายา "อินเดียน่าโจนส์แห่งวงการไฟแนนซ์" เขาเป็นที่รู้จักตั้งแต่ปี 2516 ในฐานะผู้ก่อตั้ง "ควอนตัม ฟันด์" ร่วมกับ จอร์จ โซรอส ผลงานโรเจอร์สช่วง 10 ปีอยู่กับควอนตัม ฟันด์ คือ ทำกำไรให้กองทุนมากถึง 4,200% ก่อนถอนตัวออกมาลุยลงทุนด้วยตัวเขาเอง หากใช้คำอธิบายความเป็นตำนานกับสูตรแห่งความสำเร็จของโรเจอร์ส ซีเอ็นบีซีใช้คำว่า "การสำรวจ" และยกให้โรเจอร์สเหมือน "เฟอร์ดินาน แมกเกลแลน" ที่ใช้เวลาเดินทางสำรวจช่วงปี 2062-2065 ล่องเรือจากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิก แต่โรเจอร์สใช้มอเตอร์ไซค์คันเดียวท่องเที่ยวทั่วโลกนาน 2 ปี ในช่วงทศวรรษหลังปี 2433 และอีกช่วงหนึ่ง ระหว่างปี 2542-2545 หลังจากท่องเที่ยวไปทั่วโลกกว่า 100 ประเทศ ในที่สุดโรเจอร์สตัดสินใจขายบ้านพักในกรุงนิวยอร์กในปี 2550 และย้ายมาพำนักอยู่ในเอเชียทุกวันนี้ เพราะรู้ว่าในศตวรรษที่ 21 จะเป็นศตวรรษของจีนอย่างแท้จริง บทเรียนที่ได้จากโรเจอร์ส คือ การสำรวจ การทดสอบและประสบการณ์ การได้เห็นจริงถึงมีความเชื่อ คัดโลววิเคราะห์ว่าโรเจอร์สโยกย้ายตัวเองไปเอเชีย เพราะเขามองและพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง เห็นสัญญาณที่ว่าเอเชียผ่านประสบการณ์ปฏิรูปภาคการเงิน คล้ายคลึงกับสหรัฐได้รับประสบการณ์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของศตวรรษที่ 20 แต่นักลงทุนทั่วไปไม่จำเป็นต้องย้ายไปอยู่เอเชีย เพื่อเรียนรู้จริงแบบกูรูผู้เป็นตำนานท่านนี้ การเรียนรู้ในแนวทางเดียวกับโรเจอร์สนั้น คุณสามารถทำได้ในทุกๆ ที่บนโลกใบนี้ ให้ลองซื้อสินค้าของบริษัทหรือลองมีประสบการณ์ใช้บริการของบริษัท ลองเข้าไปช้อปสินค้าตามร้านเครือข่ายของบริษัทนั้นๆ ลองพูดคุยกับพนักงานของบริษัท เพราะบริษัทแห่งหนึ่งแห่งใดดูแล้วยิ่งใหญ่เพราะเนื้อหาอยู่ตามหน้ากระดาษ อาจไม่เหมือนหรือห่างไกลจากความเป็นจริงเมื่อได้เข้าไปสัมผัสได้รู้จักทุกอย่างเกี่ยวกับบริษัทด้วยตัวเอง 

0ลี เอส.เอนส์ไล 


เอนส์ไลเทียบได้กับ "ร็อคสตาร์" ของวงการเฮดจ์ฟันด์โลก เขาก่อตั้ง มาเวอริค แคปิตอล "Maverick Capital" กองทุนเฮดจ์ฟันด์ชั้นแนวหน้าขึ้นมาในปี 2536 เน้นลงทุนหลักทรัพย์ทั้งระยะยาวและสั้น ไม่เทรดบอนด์ ไม่เล่นอัตราแลกเปลี่ยน ไม่เล่นตลาดโภคภัณฑ์ หรือเล่นออปชั่น แต่เอนส์ไลซื้อหรือเล่นในสิ่งที่เขาคิดว่าจะชนะตลาดได้ และขายในสิ่งที่เขาคิดว่าจะให้ผลประกอบการย่ำแย่ จึงเป็นเรื่องดูง่ายกับสไตล์การลงทุนแบบเอนส์ไล และหากค้นหาข้อมูลในกูเกิล พบว่าเอนส์ไลสามารถเอาชนะดัชนีเอส แอนด์ พี 500 ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ย 6%-7% ต่อปี แต่ความผันผวนมีน้อยกว่า 50% และจากสถิติช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มาเวอริค แคปิตอล กองทุนเฮดจ์ฟันด์ของเอนส์ไลทำผลตอบแทนเฉลี่ย 7.7% และในปีนี้ กองทุนของเขาให้ผลประกอบการโดดเด่นเหนือดัชนีเอส แอนด์ พี 500 มากกว่า 4% ปัจจุบันมาเวอริค แคปิตอล มีสินทรัพย์ให้บริหารมากกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ในปี 2546 มาเวอริค แคปิตอล ได้เข้าไปลงทุนใน Cognizant Technology Solutions Corp. บริษัทจัดหาเป็นที่ปรึกษาดูแลกระบวนการธุรกิจด้วยเทคโนโลยี ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นแนสแด็ก จากหุ้นที่ราคาไม่ถึง 5 ดอลลาร์ เอนส์ไลไม่ขายหุ้นตัวนี้จนถึงกลางปี 2550 และช่วง 4 ปีแห่งความอดทน มาเวอริค แคปิตอล สามารถขายหุ้นตัวนี้ออกไปด้วยมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่า ฟันกำไรได้หลายร้อยล้านดอลลาร์ สิ่งที่นักลงทุนไทยสามารถเรียนรู้ซึมซับจากเอนส์ไล คือ แวะเวียนดูการลงทุนของตัวเองราวกับว่าเป็นการลงทุนครั้งแรก มั่นเยี่ยมๆ มองๆ หาไอเดียการลงทุนให้ตัวเองอยู่ทุกวัน และถามตัวเองด้วยว่าการลงทุนทั้งหมดยังคงเป็นจริงต่อไปได้หรือไม่ ให้ใช้ความคิดพิจารณาปรับเปลี่ยนพอร์ตของตัวเอง คอยปัดฝุ่นพอร์ตการลงทุนของตัวเองไว้เสมอ เพื่อกำหนดแนวทางการลงทุนซื้อหุ้น การเรียนรู้ไม่ใช่ประเด็นที่ว่าคุณได้กำไรหรือขาดทุนเท่านั้น แต่อยู่ที่การสร้างวินัยคอยตรวจสอบพอร์ตลงทุน เพื่อให้เงินลงทุนถูกจัดวางไว้อย่างเหมาะสมสำหรับตัวเอง 

0เรอนี โฮเจอรัด

โฮเจอรัดจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมอนทานา สาขาวิชาเอกการป่าไม้ แต่จากพื้นฐานความรู้ผลักดันให้โฮเจอรัดใช้ประโยชน์จากความชอบในการศึกษาเกี่ยวกับพืชพรรณไม้ป่า สั่งสมความรู้การลงทุนเข้ามาผสมผสานกลายเป็นเทรดเดอร์มือโปรตลาดโภคภัณฑ์ของกาลเทียร์ ลิมมิเทด โฮเจอรัดเป็นลูกสาวของเกษตรกรอเมริกันจากพื้นที่ตะวันตกตอนกลางของสหรัฐ กระตือรือร้นศึกษาทำความเข้าใจการปลูกพืชเก็บเกี่ยวเป็นผลผลิตการเกษตรที่สำคัญๆ อย่างข้าวโพด ข้าวสาลีและธัญพืชอื่นๆ ความพยายามเรียนรู้ศึกษาทำความเข้าใจช่วยให้เธอพัฒนาขีดความสามารถในการอ่านวงจรสินค้าโภคภัณฑ์ได้ดีอย่างเหลือเชื่อ และดีกว่าเทรดเดอร์ส่วนใหญ่อยู่ในตลาดโภคภัณฑ์ กาลเทียร์ ลิมมิเทด ก่อตั้งในปี 2540 ด้วยการบุกเบิกของโฮเจอรัดที่ขณะนั้นมีประสบการณ์ยาวนานถึง 30 ปีในตลาดโภคภัณฑ์ และปัจจุบันเธอยังบริหารบริษัทซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์โภคภัณฑ์ ที่มีสินทรัพย์นับพันล้านดอลลาร์ให้ดูแล บทเรียนได้จากโฮเจอรัด คือ ซื้อในสิ่งที่คุณรู้ เพราะความสำเร็จของโฮเจอรัดอยู่ที่ว่าการใช้ประโยชน์และพลังที่มีอยู่กับตลาดที่ตัวเองเข้าใจได้ดีกว่าคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ แม้ทุกคนสามารถเรียนรู้ว่าจะเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ได้อย่างไร แต่สำหรับโฮเจอรัดแล้วเธอทำความเข้าใจในพืชผลการเกษตรและการเก็บเกี่ยวอย่างที่ลูกสาวเกษตรกรควรทำได้ พร้อมกับการนำพื้นฐานการศึกษาด้านป่าไม้การเกษตรมาใช้ ลองหาโอกาสกับสถานการณ์ ดึงความเชี่ยวชาญในสิ่งต่างๆ ที่เข้าใจเรียนรู้อย่างถ่องแท้ นำความได้เปรียบจากความรู้และเข้าใจมาใช้ เช่น หากนักลงทุนชื่นชอบคลั่งไคล้ในรถยนต์ คุณอาจจัดสรรพอร์ตลงทุนไว้ในหุ้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์บ้างก็ได้ หรือถ้าชื่นชอบเดินดูเปรียบเทียบเสื้อผ้าข้าวเครื่องใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค คุณอาจมองหาลู่ทางลงทุนในธุรกิจค้าปลีก 

0รอย โดนาฮู พีเบิลส์ 


พิเบิลส์เกิดในปี 2503 ปัจจุบันเป็นนักกิจกรรมการเมือง นักเขียนและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มือโปร ผู้สามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจในชื่อ พีเบิลส์ คอร์ป. และนั่งในตำแหน่งประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐที่ก่อตั้งขึ้นและเป็นของคนอเมริกันผิวดำเชื้อสายแอฟริกัน ปัจจุบัน พีเบิลส์ คอร์ป มีพอร์ตการลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์ ลงทุนในกิจการโรงแรมหรูหลายแห่ง อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอาคารที่พักอาศัยแนวดิ่งอีกมากมายหลายแห่งในกรุงวอชิงตัน ดีซี ในเมืองลาสเวกัส มลรัฐเนวาด้า และในย่านไมอามี่บีช และทุกวัน นี้เขายังคงได้รับเชิญเป็นแขกร่วมรายการ เป็นนักวิจารณ์ ให้ความเห็นด้านสังหาริมทรัพย์ ประเด็นเศรษฐกิจกับการเมือง ผ่านสื่อทั้งสิ่งพิมพ์และสถานีโทรทัศน์สำคัญของสหรัฐ ซีเอ็นบีซี ระบุว่า พีเบิลส์ร่ำรวยมาตั้งแต่อายุได้เพียง 30 ปี จากแรงบันดาลใจความชอบการเมืองเป็นทุนเดิมมาตั้งแต่อายุ 16 ปี ด้วยการเข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่ประจำรัฐสภาสหรัฐ และระหว่างเข้าไปทำงานคลุกคลีกับการเมืองสหรัฐ เขาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์สร้างสายสัมพันธ์ส่งผลต่อดีต่อการทำข้อตกลงในหลายๆ เรื่อง และเมื่อเขาพยายามผันตัวเองจากวงการการเมืองสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ในปี 2522 ดังนั้น ตลอด 33 ปีที่ผ่านมา พีเบิลส์ได้นำประสบการณ์การเมืองที่สั่งสมมาไปใช้กับธุรกิจเขาได้อย่างเต็มที่ และในเดือน พ.ค. 2552 ฟอร์บส์ได้ยกให้พีเบิลส์ติดท็อปแทนคนอเมริกันผิวดีร่ำรวยที่สุด ขณะที่นิตยสารฟอร์จูนได้ประเมินความร่ำรวยส่วนตัวของพีเบิลส์อยู่ที่ 350 ล้านดอลลาร์ โดยไม่คำนวณรวมกับสินทรัพย์ที่มีอยู่ในอาณาจักรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คัดโลวแห่งซีเอ็นบีซีสรุปบทเรียนที่ได้จากพีเบิลส์ว่า การลงทุนคำนึงถึงมนุษยศาสตร์หรือการศึกษามนุษย์ด้วยกันเองนั้นสำคัญพอๆ กันกับเรื่องการทำดีลการมีตัวเลขขาดทุนกำไร เพราะการทำธุรกรรมทำธุรกิจทุกครั้งเริ่มต้นมาจากมนุษย์ ในยุคที่อีเมล การค้นหาทางอินเทอร์เน็ต และการเทรดผ่านคอมพิวเตอร์ ทำให้เป็นเรื่องง่ายที่มนุษย์จะเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง แต่บางครั้ง การใช้แนวทางเดิมๆ อย่างการเสวนาพูดจาสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกัน สามารถสร้างมูลค่าต่อยอดให้กับการลงทุนการทำธุรกิจได้ดี และดีกว่าวิธีการปฏิสัมพันธ์อื่นๆ ทุกอย่างที่อิงกับเทคโนโลยีสมัยใหม่มารวมกันเสียอีก

DANCING


ต้นเหตุของการฟ้องหย่า

ที่ผ่านมามีมากมายหลายคนที่อยู่กินกันเป็นเรื่องเป็นเรื่องราว มีลูกเต้าจนใครๆ ก็คิดว่าเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจนหน้าอิจฉา แต่แล้ววันนึงก็ต้องหย่าร้างแบบไม่เหลือมิตรภาพดีๆ ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
คุณเคยสงสัยกันไหมว่าอะไรคือสาเหตุของการที่คนเคยรักต้องหย่าร้างกันแบบไร้เยื่อใยถึงเพียงนี้ ทั้งที่ไม่มีแม้แต่มือที่ 3 หรือเรื่องเลวร้ายใดๆ เกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ
ต้นเหตุของการฟ้องหย่า
คงไม่มีคู่รักคู่ไหนอยากให้เกิดเรื่องเศร้าใจแบบนี้ในชีวิตแต่งงาน แต่ถ้าหากคุณยังไม่รู้ถึงสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ใจเราเปลี่ยนจากรักเป็นชังแล้วล่ะก็ เรื่องราวแบบนี้อาจเกิดขึ้นในชีวิตคู่ของคุณได้ไม่ยากค่ะ
เพราะอะไรถึงต้องฟ้อง?
ไม่บอกก็คงจะรู้กันว่าช่วงเวลาแบบนั้นมันไม่เหลือความรักและความผูกพันใดๆ อีกแล้ว หลายๆ คู่ที่ต้องฟ้องหย่ากันประเด็นหลักๆ มีแค่ 2 เหตุผล
1. แบ่งสินสมรส
2. เรื่องเลี้ยงดูบุตร
เห็นได้ชัดใช่ไหมคะว่ามีแต่เรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นแสดงได้ชัดว่าคุณทั้งสองคนเป็นคนอื่นกันไปแล้วจริงๆ การขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นที่มาจากความรู้สึกโกรธแค้น เอาชนะกันและกัน ที่สำคัญ..คุณทั้งคู่ไม่คุยกันด้วยเหตุผลที่ดี ความรุนแรงของปัญหาจึงไปจบที่การฟ้องหย่าอยู่เสมอ
ป้องกันอย่างไรไม่ให้มันเกิดขึ้น
ความเข้าใจ : คือการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดค่ะ หากในยามรักกัน ทั้งคุณและเขาพยายามทำความเข้าใจปัญหา และสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นแล้ว ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ
การให้อภัย : เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำผิดพลาดเพียงเล็กน้อย สิ่งที่คุณควรทำให้เป็นนิสัยนั่นก็คือ ให้อภัย แต่มีข้อแม้อยู่ตรงที่ว่าทั้งคุณและเขาจะตกเคารพการให้อภัยของฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่ว่ารู้อยู่ว่าเขาจะให้อภัยได้เมื่อคุณทำผิด ครั้งต่อไปคุณก็ยังผิดซ้ำ ถ้าเป็นอย่างนั้นสัญญาณการหย่าร้างก็มาให้เห็นไกลๆ แล้วล่ะค่ะ
ไม่เห็นแก่ตัว : นึกถึงตัวเองให้น้อยลงสักนิดก็จะทำให้เขารู้สึกได้รับสิ่งดีๆ จากเรามากขึ้น และถ้าคุณและเขานึกถึงฝ่ายตรงข้ามก่อนทั้งคู่ ชีวิตรักของคุณก็จะยืนยาวและมีแต่ความรู้สึกที่ดีต่อกันค่ะ

โลกเตรียมรับมรสุมพัดหวนวิกฤต'ราคาอาหาร'ตั้งเค้าป่วน

ชัดเจนแจ่มแจ้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากออกอาการส่งสัญญาณชวนหวาดผวามาได้สักระยะ สำหรับ “ราคาอาหาร” โลกว่าจะมีแนวโน้มแพงขึ้นเข้าขั้นระดับวิกฤตและสร้างความเดือดร้อนทั่วหน้าทั่วโลกแน่นอน
เพราะความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ทั้งสถานการณ์ภัยแล้งและฤดูมรสุมพายุฝนกระหน่ำในหลายพื้นที่ทางการเกษตรของหลายประเทศทั่วโลกซึ่งยืดเยื้อยาวนาน แถมหนักหน่วงเกินคาด ได้เริ่มส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผลิตผลทางการเกษตร ไล่เรียงตั้งแต่ธัญพืช ข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง เนื้อ นม น้ำตาล และน้ำมัน จนมีแววว่าอาหารการกินเหล่านี้จะไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชากรทั่วโลกซึ่งเพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน
ทั้งนี้ เหตุภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ในรอบปี 2555 ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ เนื่องจากนักวิเคราะห์หลายฝ่ายต่างถือเป็นต้นเหตุของวิกฤตราคาอาหารโลกในปัจจุบันก็คือสถานการณ์ภัยแล้งในสหรัฐที่รุนแรงมากที่สุดในรอบกว่า 50 ปี จนสหรัฐต้องประกาศให้พื้นที่ 1,300 เขต ใน 29 รัฐ เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ
ความร้ายแรงของภัยแล้งข้างต้นส่งผลให้แหล่งเพาะปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองได้รับความเสียหายรุนแรงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2531 โดยข้อมูลสถิติจากกระทรวงเกษตรสหรัฐ (ยูเอสดีเอ) ระบุชัดว่า เหตุภัยแล้งที่เกิดขึ้นทำให้ผลผลิตข้าวโพดเสียหายไปถึง 31% จนต้องปรับลดการคาดการณ์ปริมาณผลผลิตข้าวโพดในปีนี้ลง 12% หรืออยู่ที่ 1.297 หมื่นล้านบุชเชล จากเดิมที่คาดไว้ที่ 1.497 หมื่นล้านบุชเชล ส่งผลให้ราคาข้าวโพดในตลาดแพงขึ้น โดยเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ราคาข้าวโพดพุ่งสูงขึ้นทำสถิติที่ 7.98 เหรียญสหรัฐต่อบุชเชล (ราว 247.38 บาท) ขณะที่ราคาถั่วเหลืองในตลาดส่งมอบเดือน พ.ย.ปรับเพิ่มขึ้น 1.7% แตะที่ 16.48 เหรียญสหรัฐต่อบุชเชล (ราว 510.88 บาท)
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ ราคาสินค้าการเกษตรมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างทั่วหน้า เนื่องจากภาวะภัยแล้งทำให้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการในตลาด ขณะที่ปริมาณผลผลิตที่สำรองไว้ในคลังก็ยังลดลงด้วยเช่นกัน โดยในขณะนี้ราคาข้าวสาลีได้ปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 42% ในปีนี้และมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 9.27 เหรียญสหรัฐต่อบุชเชล (ราว 287.37 บาท) ถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 35% อยู่ที่ 16.3125 เหรียญสหรัฐต่อบุชเชล (ราว 505.69 บาท) และข้าวโพดเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 27% อยู่ที่ 8.2375 เหรียญสหรัฐต่อบุชเชล (ราว 255.36 บาท)
นอกจากนี้ ภัยแล้งที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในประเทศสหรัฐเท่านั้น เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่ตกต่ำกว่าการคาดการณ์ส่งผลให้อินเดียประเทศผู้ผลิตข้าวชั้นนำของโลก ซึ่งเพิ่งจะเริ่มส่งออกข้าวอีกครั้งเมื่อเดือน ก.ย.ปีที่ผ่านมา เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ต่ำกว่าเป้าหมาย ส่งผลให้องค์การอาหารและสินค้าเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) คาดการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ปริมาณผลผลิตข้าวจากอินเดียที่จะออกสู่ตลาดในวันที่ 1 ต.ค.นี้ จะลดลง 5.6% หรืออยู่ที่ 98.5 ล้านตัน
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ภาวะแห้งแล้งในพื้นที่ยุโรปในเขตที่มีการเพาะปลูก เช่น รัสเซีย เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็ยังมีผลต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าวสาลีที่ลดลง
สถานการณ์ทั้งหมดทั้งมวลข้างต้นทำให้นักวิเคราะห์ทั่วโลกสามารถสรุปได้ตรงกันว่าความผันผวนแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศโลกที่เดี๋ยวฝนเดี๋ยวแล้ง ส่งผลให้การเก็บเกี่ยวผลิตผลทางการเกษตรซึ่งถือเป็นรากฐานของการผลิตอาหารโลกนั้นลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกไม่ว่าจะเป็นยุโรป สหรัฐ เอเชีย หรือแอฟริกาล้วนได้รับความเสียหายแบบทั่วหน้าทั่วถึงกัน ซึ่งเฉพาะผลผลิตธัญพืชจะลดลงถึง 1.8% ซึ่งนับได้ว่าต่ำสุดในรอบ 4 ปี
ขณะที่เมื่อไม่นานมานี้ องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้ออกรายงานคำนวณราคาอาหารโลก โดยอิงข้อมูลจากสภาธัญพืชนานาชาติ (ไอจีซี) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลปริมาณการผลิตธัญพืชที่เปิดเผยว่าการผลิตธัญพืชในปีนี้มีแววลดลง 2% ระบุชัดเจนว่าอาหารมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น โดยขณะนี้ดัชนีอาหารที่ใช้คำนวณราคาอาหารในตลาดโลก 55 ชนิด ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นแล้ว 6.2% ซึ่งนับเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2552
ยิ่งเมื่อซ้ำเติมกับข้อเท็จจริงที่ว่า ปริมาณอาหารที่สำรองในคลังของรัฐบาลแต่ละประเทศเริ่มร่อยหรอลง จนมีแนวโน้มต้องนำเข้าเพิ่มขึ้น ก็ยิ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายรายหวั่นวิตกว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะนำไปสู่การเปิดศึกแย่งชิงอาหารอีกระลอก ซึ่งจะส่งให้ราคาอาหารโลกแพงหนักถึงขั้นที่ประชาชนของประเทศต่างๆ อาจลุกฮือก่อจลาจล เพราะทนหิวไม่ไหว
และตัวอย่างของสถานการณ์ราคาอาหารที่นักวิเคราะห์ ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์เริ่มวิตกกังวลกันมากขึ้นก็คือ ปริมาณผลผลิตและราคาของ “ข้าว” อาหารหลักของประชาชนเกือบค่อนโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแห่งนี้
เพราะเมื่อข้าวเป็นอาหารหลักของคนส่วนใหญ่ในเอเชีย ผลกระทบจากราคาข้าวที่แพงขึ้นย่อมไม่อาจเมินเฉยได้เช่นกัน
หนังสือพิมพ์วอลสตรีต เจอร์นัล รายงานโดยอ้างคำกล่าวของนักวิเคราะห์ ซึ่งระบุตรงกันว่าราคาข้าวมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้มากถึง 10% ใน 3 เดือนข้างหน้า เนื่องจากจำนวนผลผลิตข้าวที่ลดน้อยลงและมีอยู่อย่างจำกัดจะส่งผลให้รัฐบาลแต่ละประเทศต้องเพิ่มปริมาณการนำเข้าให้เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ โดยในขณะนี้หลายประเทศได้เริ่มเพิ่มปริมาณการนำเข้าข้าวของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินส์
ทั้งนี้ ไอจีซี ประเมินว่า แม้ฟิลิปปินส์จะสามารถบรรลุเป้าหมายการเพิ่มผลผลิตข้าวในปีนี้ที่ 6.7% หรือ 17.8 ล้านตัน เพื่อการบริโภคภายในประเทศ แต่ปัญหาพายุ ทั้งไต้ฝุ่นซาโอลาและพายุฤดูร้อนเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายสูงถึง 50.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,566 ล้านบาท) โดยรวมถึงพื้นที่ทางการเกษตร ส่งผลให้รัฐบาลฟิลิปปินส์จำเป็นต้องนำเข้าข้าวสูงถึง 1.4 ล้านตันในปีนี้ และอีก 1.3 ล้านตันในปีหน้า
หากคำนวณจากราคาข้าวในตลาดปัจจุบัน รัฐบาลฟิลิปปินส์ต้องควักเงินสูงถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.86 หมื่นล้านบาท) ขณะที่ประเทศอินโดนีเซียมีแนวโน้มจะนำเข้าข้าวสูงถึง 1.5 ล้านตันในปีหน้า หรือมีมูลค่าสูงถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.17 หมื่นล้านบาท) ตามราคาตลาดข้าวในขณะนี้ ที่อยู่ที่ 565 เหรียญสหรัฐต่อตัน (ราว 1.75 หมื่นบาท) สำหรับข้าวไทย 5% หรือ 420 เหรียญสหรัฐต่อตัน (ราว 1.3 หมื่นบาท) สำหรับข้าวหักอินเดีย 5%
ฟิลิป แมคนิโคลัส ผู้อำนวยการอันดับหนี้สาธารณะในเอเชียของฟิทช์ เรตติ้งส์ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก กล่าวว่า แม้หลายประเทศในเอเชียจะยังคงมีความสามารถในการหาซื้อข้าวได้อย่างไม่เดือดร้อน เนื่องจากจำนวนหนี้สาธารณะและปริมาณการขาดดุลอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่หากมีเหตุการณ์พลิกผัน เช่น ราคาข้าวพุ่งโดยมีเหตุจากความตื่นตระหนกว่าข้าวจะขาดตลาด สถานการณ์ก็อาจไม่ง่ายดายสำหรับรัฐบาลในเอเชียอีกต่อไป
และประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดก็คือประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าข้าวจากประเทศอื่นเป็นหลักอย่างประเทศฟิลิปปินส์และสิงคโปร์
ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญหน้ากับภาวะถดถอยหรือชะงักงันอย่างรุนแรง สิ่งที่รัฐบาลในเอเชียต้องการมากที่สุดในเวลานี้ก็คือนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้สามารถเติบโตต่อไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน
แต่หากมีปัญหาในเรื่องราคาอาหารแพงเข้ามาเกี่ยวข้อง ย่อมส่งผลต่อระดับเงินเฟ้อหรือภาวะข้าวยากหมากแพงภายในประเทศ จนทำให้รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะจัดการแก้ปัญหาเงินเฟ้อให้ยุติโดยเร็ว ก่อนที่ประชาชนจะสั่งสมความไม่พอใจลุกขึ้นมาขับไล่ผู้นำเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อช่วงปี 2552-2553 ในแถบตะวันออกกลาง
และแน่นอนว่า ประเด็นเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศย่อมลดทอนความสำคัญเป็นเพียงแค่ปัจจัยรองลงมา
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งก็ยังไม่วายออกมาเตือนว่า แม้แนวโน้มของสถานการณ์ที่ราคาข้าวจะแพงขึ้นอาจทำให้ประเทศผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก เช่น ไทย เกิดความได้เปรียบ แต่จากนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลไทยในช่วงที่ผ่านมา อาจไม่ทำให้รัฐบาลไทยคว้าโอกาสได้มากนัก
เพราะนโยบายดังกล่าวทำให้รัฐบาลเลือกที่จะเก็บข้าวเอาไว้มากกว่าจะขายในราคาที่ถูกกว่ารับจำนำมาจากชาวนา จนปริมาณข้าวในคลังของไทยเพิ่มสูงมากขึ้น ดังนั้นทันทีที่รัฐบาลไทยระบายข้าวจากคลังออกมาขาย แรงกดดันในตลาดที่กลัวว่าข้าวจะขาดตลาด จะลดลงจนทำให้ราคาข้าวไม่แพงอย่างที่หลายฝ่ายหวาดวิตกกันไว้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าราคาข้าวจะอยู่ในระดับใด ประเด็นหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันก็คือว่าราคาอาหารทั่วโลกมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน
หลักฐานยืนยันก็คือดัชนีราคาอาหารของเอฟเอโอเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 201 จุด มาอยู่ที่ 213 จุด
กลายเป็นข้อเท็จจริงที่ทั่วโลกไม่อาจปฏิเสธหรือลังเลได้อีกต่อไปว่าวิกฤตราคาอาหารกำลังหวนกลับมาอีกระลอก 


ดอกเบี้ยขาลงขานรับศก.โลกซบเซาหนัก


เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับกันตรงๆ ได้แล้ว ว่าสภาวการณ์เศรษฐกิจโลกขณะนี้กำลังเดินหน้าเข้าสู่ภาวะย่ำแย่อย่างหนัก ยืนยันได้จากคำกล่าวของ คริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งออกมาชี้แจงเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัวและจะเลวร้ายลงกว่านี้ หากบรรดาผู้นำยูโรโซนยังไม่สามารถเร่งงัดมาตรการแก้ไขวิกฤตหนี้อย่างเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นได้โดยเร็ว
ขณะที่ตัวเลขการขาดดุลการค้าที่สูงกว่าเป้าถึง 2 เท่า เมื่อเดือน ก.ค. ของญี่ปุ่นที่ 5.174 แสนล้านเยน (ราว 2.015 แสนล้านบาท) รวมถึงการที่ภาคการนำเข้าและส่งออกไปต่างประเทศของจีนในเดือน ก.ค. ที่หดตัวลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ก็เป็นอีกหนึ่งประจักษ์พยานสำคัญว่าขณะนี้ภาวะการค้าการขายในตลาดโลกกำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัวอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะผลกระทบจากวิกฤตหนี้ยูโรโซน
ด้วยสภาวะที่ย่ำแย่เช่นนี้ จึงไม่แปลกใจนักที่จะได้เห็นบรรดาประเทศต่างๆ พากันเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นผ่านการตัดลดอัตราดอกเบี้ยแบบไม่เคยมีมาก่อนในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้า เพื่อค้ำยันเศรษฐกิจของประเทศไม่ให้เข้าสู่ภาวะย่ำแย่ไปกว่าเดิม ถึงแม้จะรู้ดีว่าจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อมากขึ้นก็ตาม
ไล่เรียงไปตั้งแต่ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ที่ตัดลดลงมาต่ำสุดในประวัติการณ์ที่ 0.75% ขณะที่ธนาคารกลางจีน ก็ประกาศลดดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งในเดือนเดียว เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ลดเหลือที่ 6% และล่าสุดคือ ธนาคารกลางบราซิล ที่ได้ตัดลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 9 ติดต่อกันลงมาเหลือที่ 7.5%
ส่วนทางด้านธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งแม้ว่าในช่วงระยะหลังมานี้จะไม่ได้ออกมาตรการกระตุ้นออกมาเพิ่มเติม ยกเว้นการขยายเวลาของมาตรการขายคืนพันธบัตรระยะสั้นและรับซื้อพันธบัตรระยะยาว (โอเปอเรชันทวิสต์) ออกไป แต่ก็ได้ออกมาย้ำชัดว่าจะขยายการคงดอกเบี้ยต่ำที่ 0-0.25% ไปจนถึงปลายปี 2557 ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ และเป็นการประกาศใช้ที่นานมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งรวมแล้วกินเวลาเกือบ 4 ปีทีเดียว
นอกจากนี้ ยังไม่รวมถึงเหล่าบรรดาประเทศรายเล็กอื่นๆ ทั้งในเอเชียและยุโรป ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ เวียดนาม โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก ตุรกี ที่มีทั้งได้ตัดลดไปก่อนแล้ว และกำลังจะดำเนินการตัดลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้ เรียกได้ว่าภาวะเศรษฐกิจที่อึมครึมนั้นกำลังบีบคั้นให้ประเทศต่างๆ ต้องก้มหน้ายอมกดดอกเบี้ยให้ต่ำลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าลึกๆ ก็ไม่อยากจะทำก็ตามที
“เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมากที่เหล่าบรรดาธนาคารกลางหลายประเทศ ได้ออกมาตัดลดอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาไล่เลี่ยกันในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งนี่เป็นสัญญาณเตือนแล้วว่าความกังวลของเหล่าบรรดาผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจต่อภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ” มาร์ค วิลเลียม นักเศรษฐศาสตร์ จากบริษัทให้คำปรึกษาด้านการเงิน แคปปิตอล อีโคโนมิก ของอังกฤษ กล่าวให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ส
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในนโยบายการเงินเพื่อใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะถูกมองจากเหล่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์จากหลายสถาบันว่าจะให้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และยังจะไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก เมื่อเทียบกับการใช้นโยบายแทรกแซงอื่นๆ อาทิ การอัดฉีดเงินเข้าระบบโดยตรง หรือการใช้นโยบายกระตุ้นผ่านทางนโยบายการคลังของรัฐด้วยการอัดฉีดเงินลงทุนผ่านทางนโยบายต่างๆ
ทว่าเมื่อพิจารณาภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันและรายละเอียดลงไปในแต่ละประเทศให้ดีๆ แล้ว จะพบว่าเต็มไปด้วยเงื่อนไขและข้อจำกัดมากมาย ที่เป็นก้างคอยขัดขวางไม่ให้การผลักดันแผนต่างๆ ที่ถูกมองว่าจะได้ผลดีกว่าการลดอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวออกมาใช้ได้
ไล่เรียงไปตั้งแต่อัตราหนี้สาธารณะที่สูง โดยเฉพาะในสหรัฐและยุโรป ที่จะทำให้การใช้นโยบายการคลังมาอัดฉีดเต็มไปด้วยข้อจำกัด เพราะเมื่อใดที่นำเงินออกมากระตุ้น ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้อัตราส่วนหนี้ภาครัฐเพิ่มสูงขึ้นไปจากเดิมที่มีสูงอยู่แล้ว และนั่นก็จะกระทบกลับความเชื่อมั่นของสถานะทางเศรษฐกิจของรัฐบาลตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2551-2552 ที่ผ่านมา ก็ได้ทำให้รัฐบาลหลายประเทศต่างเหลือกระสุนสำรองในนโยบายการคลังเพื่อออกมาใช้รับมือกับวิกฤตได้น้อยลง
นอกจากนี้ การออกมาตรการกระตุ้นผ่านการอัดฉีดเงินเข้าระบบที่ผ่านมาในอดีต ก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่าสุดท้ายประโยชน์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นกลับระบบเศรษฐกิจในภาพรวม แต่กลับไปเกิดขึ้นกลับกลุ่มนักเก็งกำไรต่างๆ อาทิ การอัดฉีดเงินครั้งใหญ่มูลค่า 4 ล้านล้านหยวน (ราว 18.166 ล้านล้านบาท) ของจีน เพื่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจโลกเมื่อปี 2551–2552 ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ ภาวะฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์และหนี้เน่าในภาคธนาคารและรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทำให้รัฐบาลจีนยังแก้ไม่ตกมาจนถึงทุกวันนี้
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้รัฐบาลจีนถึงกับเข็ดขยาดกับการใช้มาตรการกระตุ้นอย่างใหญ่โตเช่นนี้อีกครั้ง
“เป็นที่แน่ชัดแล้วว่ารัฐบาลจีนไม่มีความตั้งใจที่จะออกนโยบายการกระตุ้นแบบใหญ่โตเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไปแล้ว” สำนักข่าวซินหัวกระบอกเสียงหลักของรัฐบาลจีน ระบุไว้ในบทความด้านนโยบายด้านเศรษฐกิจ เมื่อปลายเดือน พ.ค.นี้เอง พร้อมกับเสริมว่า การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่วิธีการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ขณะที่อีกหนึ่งหลักฐานซึ่งบ่งชี้ว่า ขณะนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการอัดฉีดเงินเข้าระบบโดยตรง ดูจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักในเวลานี้ก็คือผลสำรวจของซีเอ็นเอ็น ซึ่งชี้ว่าเหล่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในสหรัฐ ที่ส่วนใหญ่คิดเป็นอัตราส่วนถึง 77% และ 93% ตามลำดับ ต่างออกมาแสดงอาการร้องยี้และคัดค้านต่อการที่เฟดจะออกมาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (คิวอี) รอบที่ 3 ในเร็วๆ นี้ โดยให้เหตุผลว่า การกระตุ้นดังกล่าวจะไม่ได้ช่วยเศรษฐกิจในภาพรวม แต่จะไปกระตุ้นและส่งผลดีต่อตลาดหุ้นมากกว่า
“มาตรการคิวอีที่ใช้มา 2 ครั้งก่อนหน้านี้ แม้จะช่วยให้ธนาคารในสหรัฐมีสภาพคล่องมากขึ้น แต่ทว่าชาวอเมริกันจำนวนมากกลับไม่มีเครดิตมากพอที่จะเข้าถึงแหล่งเงินได้ เช่นเดียวกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่ยังคงประสบปัญหาในการยื่นขอเงินกู้จากธนาคารที่มีเงินสำรองสูงถึง 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 45 ล้านล้านบาท)” ผลการสำรวจของซีเอ็นเอ็น ระบุ
ขณะที่ โดว์ โคตร หัวหน้านักกลยุทธ์การตลาดจากไอเอ็นจี อินเวสต์เมนต์ แมนเนจเมนต์ กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำมากแล้ว และนโยบายกระตุ้นที่ใช้อยู่ก็ยังไม่ครบกำหนดเวลาที่วางไว้ ฉะนั้นการอัดเงินเข้าไปเพิ่มเติมในระบบจึงไม่น่าช่วยอะไร นอกเหนือไปจากจะทำให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆ แพงขึ้น กลายเป็นเงินเฟ้อ และมากระทบกับอำนาจในการซื้อของประชาชนตามมาภายหลัง
ดังนั้น ทางเลือกในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะที่ทั่วโลกกำลังชะลอตัวเช่นนี้ จึงเหลือทางเลือกไม่มากนัก และสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเหมาะสมที่สุดในภาวะเช่นนี้นั้นก็คือ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำลงนั่นเอง
จึงไม่ต้องแปลกใจ ที่ต่อแต่นี้ไปจะได้เห็นประเทศต่างๆ พากันปรับลดดอกเบี้ยลงกันอีกในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เพราะภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าซึ่งไอเอ็มเอฟได้ชิงออกมาตัดลดคาดการณ์ไปก่อนแล้วจากเดิม 4.1% ลงมาเหลือ 3.9% ก็เป็นตัวบ่งบอกชัดว่า ปีหน้าสถานการณ์ก็ยังจะอึมครึมเช่นนี้ต่อไปเช่นเดิม หรือไม่ก็อาจร้ายแรงกว่านี้... 

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ลายเพ้นท์เล็บ



การเพ้นท์เล็บ กลายเป็นกิจกรรมยอดฮิตของเพื่อนๆ วัยใสในช่วงปิดเทอมไปเรียบร้อยแล้ว แต่จะเพ้นท์เล็บลายธรรมดาก็คงจะไม่โดดเด่นอะไร วันนี้เกร็ดดี้เลยมีลายเพ้นท์เเล็บแบบใหม่ๆ มาให้ได้เลือกกัน แต่ถ้าลายไหนยากเกินไป ก็สามารถนำแบบไปให้ร้านทำเล็บ ช่วยทำให้ก็ได้นะคะ อย่าลืมว่าเปิดเทอมเมื่อไรเล็บจะต้องสะอาด อย่าให้มีลวดลายเพ้นท์อยู่ที่เล็บ เพื่อนๆ จะได้สวยอย่างถูกระเบียบ เดี๋ยวโดนคุณครูดุจะหาว่าเกร็ดดี้ไม่เตือนนะจ๊ะ...อิอิ
เพื่อนๆ คนไหนอยากจะฝึกเพ้นท์เล็บมาดูอุปกรณ์ในเบื้องต้นกันก่อนดีกว่าค่ะ

แปรงพู่กัน สำหรับการเพ้นท์นั้นเอง พู่กันมีหลายแบบทั้งแบบปลายตัด และปลายเรียวเล็ก หลายแบบตามความเหมาะของลวดลาย และที่สำคัญหลังจากใช้แล้วอย่าลืมล้างให้สะอาด เพื่อยืดอายุการใช้งานของแปรงค่ะ
สีทาเล็บ นอกจากสีทาเล็กแบบทั่วไปแล้ว ถ้ามีสีอะครีลิคสำหรับเพ้นท์เล็บ จะทำให้การเพ้นท์ลายลงบนเล็บง่ายยิ่งขึ้น ส่วนมากจะใช้ยาทาเล็บรองพื้นก่อนเพ้นท์ด้วยสีอะครีลิค สิ่งสำคัญในการเพ้นท์เล็บอีกอย่างก็คือน้ำยาเคลือบเล็บ ทาทับหลังจากเล็บแห้งจากการเพ้นท์ จะช่วยรักษาลวดลายได้ยาวนานขึ้น
เล็บสีพื้นสดๆ อย่างเช่น สีชมพูจิ๊ด แบบสาวแฟชั่น ก็ดูเก๋ไม่เบานะคะ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสร้างความสวยถึงไม่มีลายเพ้นท์ก็ตาม สำหรับมือใหม่ที่รักการเพ้นท์ต้องอาศัยเวลา ในการฝึกฝนสักหน่อย ค่อยๆ พยายามเพ้นท์กันนะคะ